Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Eytos

#38
1. บทนำ
PHP เป็นภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้สำหรับพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเว็บต่าง ๆ ในบทความนี้ เราจะอธิบายขั้นตอนการเขียนโปรแกรมสร้างตะกร้าสินค้าอย่างง่ายๆ ด้วย PHP แบบขั้นตอนละเอียด


2. การเขียนโปรแกรมสร้างตะกร้าสินค้า
2.1 การสร้างฟอร์มเพื่อเพิ่มสินค้าในตะกร้า
เริ่มต้นด้วยการสร้างฟอร์ม HTML ที่มีไฟล์ php ที่จะทำหน้าที่เพิ่มสินค้าในตะกร้า โดยเราจะใช้ method POST เพื่อส่งข้อมูลของสินค้าที่จะเพิ่มในตะกร้า

<form method="POST" action="cart.php">
  <input type="text" name="product_name" placeholder="ชื่อสินค้า"><br>
  <input type="number" name="quantity" placeholder="จำนวนสินค้า"><br>
  <input type="submit" value="เพิ่มสินค้า">
</form>

2.2 การเพิ่มสินค้าในตะกร้า
เมื่อผู้ใช้กดปุ่มเพิ่มสินค้า ข้อมูลของสินค้าจะถูกส่งไปยังไฟล์ php ที่จะทำหน้าที่เพิ่มสินค้าในตะกร้า โดยเราจะเก็บข้อมูลของสินค้าลงใน session เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดเวลาที่ผู้ใช้เข้ามาใช้งานเว็บไซต์

session_start();

if(!isset($_SESSION['cart'])) {
  $_SESSION['cart'] = array();
}

if(isset($_POST['product_name']) && isset($_POST['quantity'])) {
  $product_name = $_POST['product_name'];
  $quantity = $_POST['quantity'];

  $product = array('name' => $product_name, 'quantity' => $quantity);
  array_push($_SESSION['cart'], $product);
}

2.3 การแสดงสินค้าในตะกร้า
เมื่อผู้ใช้มีสินค้าอยู่ในตะกร้าแล้ว เราจะต้องแสดงรายการสินค้าทั้งหมดในตะกร้าออกทางหน้าเว็บไซต์ โดยการเข้าถึงข้อมูลของสินค้าที่อยู่ใน session แล้วแสดงผลออกทางหน้าเว็บไซต์
session_start();

if(isset($_SESSION['cart'])) {
  foreach($_SESSION['cart'] as $product) {
    echo $product['name'] . ' (' . $product['quantity'] . ')<br>';
  }
} else {
  echo 'ไม่มีสินค้าในตะกร้า';
}

3. สรุป
การสร้างตะกร้าสินค้าด้วย PHP เป็นการเขียนโปรแกรมที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มสินค้าในตะกร้า และดูรายการสินค้าที่อยู่ในตะกร้าได้โดยง่ายดาย ในการพัฒนาต่อยอด เราสามารถเพิ่มฟังก์ชันการลบสินค้าออกจากตะกร้าหรือการคำนวณราคารวมของสินค้าได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานและปริมาณข้อมูลที่จะใช้ในการพัฒนาต่อไป


4. คำสั่ง FAQ
4.1 ฉันสามารถลบสินค้าออกจากตะกร้าได้หรือไม่?
ใช่ คุณสามารถลบสินค้าออกจากตะกร้าได้โดยคลิกที่ปุ่มลบสินค้าที่ต้องการ

4.2 ตะกร้าสินค้าของฉันจะถูกเก็บไว้เมื่อไร?
ตะกร้าสินค้าจะถูกเก็บไว้ใน session โดยจะยังคงอยู่เมื่อผู้ใช้งานยังไม่ได้ปิดเว็บไซต์

4.3 ฉันสามารถแก้ไขจำนวนสินค้าในตะกร้าได้หรือไม่?
ใช่ คุณสามารถแก้ไขจำนวนสินค้าในตะกร้าได้โดยกดปุ่มแก้ไขและแก้ไขจำนวนสินค้าที่ต้องการ

4.4 สินค้าในตะกร้าของฉันจะหายไปหากฉันปิดเว็บไซต์?
ไม่ สินค้าในตะกร้าจะยังคงอยู่ใน session และจะถูกเก็บไว้ได้นานเมื่อผู้ใช้งานยังไม่ได้ปิดเว็บไซต์

4.5 ต้องมีการสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานตะกร้าสินค้าหรือไม่?
ไม่ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานตะกร้าสินค้าได้โดยไม่ต้องสมัครสมาชิกใด ๆ
#39
1. บทนำ
การคำนวณอายุเป็นการที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วยภาษา Java

2. การเขียนโปรแกรม
2.1 การรับข้อมูลจากผู้ใช้
เริ่มต้นด้วยการรับข้อมูลจากผู้ใช้ โดยใช้คำสั่ง Scanner ใน Java ดังนี้

Scanner scanner = new Scanner(System.in);
System.out.print("ป้อนวันเกิดของคุณ (dd/mm/yyyy): ");
String dateOfBirthString = scanner.next();

2.2 การแปลงข้อมูลเป็นปี
หลังจากได้รับวันเกิดจากผู้ใช้แล้ว เราต้องแปลงข้อมูลนี้ให้เป็นปี โดยใช้คลาส Calendar ใน Java ดังนี้

SimpleDateFormat sdf = new SimpleDateFormat("dd/MM/yyyy");
Date dateOfBirth = sdf.parse(dateOfBirthString);
Calendar cal = Calendar.getInstance();
cal.setTime(dateOfBirth);
int yearOfBirth = cal.get(Calendar.YEAR);

2.3 การคำนวณอายุ
หลังจากแปลงข้อมูลวันเกิดเป็นปีแล้ว เราสามารถคำนวณอายุได้ด้วยการลบปีปัจจุบันด้วยปีที่เกิด เช่น

int currentYear = Calendar.getInstance().get(Calendar.YEAR);
int age = currentYear - yearOfBirth;

2.4 การแสดงผล
ท้ายที่สุด เราต้องการแสดงผลอายุออกทางหน้าจอ โดยใช้คำสั่ง System.out.println() ใน Java ดังนี้

System.out.println("อายุของคุณคือ: " + age + " ปี");

3. สรุป
การเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วยภาษา Java เป็นการใช้คลาส Scanner, Calendar, และ SimpleDateFormat ในการรับข้อมูลและคำนวณ โด้วยความสามารถของ Java ในการจัดการข้อมูลต่างๆ และการแสดงผลทางหน้าจอ ทำให้การเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย สำหรับผู้เริ่มต้นในการฝึกฝนเขียนโปรแกรม Java การเขียนโปรแกรมคำนวณอายุนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและจะมีประโยชน์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันต่างๆ ด้วย Java


4. คำถามที่พบบ่อย
  • Q: การเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java สามารถใช้กับแพลตฟอร์มใดได้บ้าง?
    A: การเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java สามารถใช้ได้บนแพลตฟอร์มทั้งหมดที่สนับสนุนภาษา Java เช่น Windows, macOS, Linux, และอื่นๆ
  • Q: สิ่งที่ต้องมีสำหรับการเขียนโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java คืออะไร?
    A: สิ่งที่ต้องมีคือ Java Development Kit (JDK) ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดฟรีจากเว็บไซต์ของ Oracle
  • Q: การแปลงวันเกิดให้เป็นปีโดยใช้คลาส Calendar ใน Java มีวิธีการอย่างไร?
    A: การแปลงวันเกิดให้เป็นปีโดยใช้คลาส Calendar ใน Java สามารถทำได้โดยการใช้คำสั่ง cal.get(Calendar.YEAR) เพื่อเรียกค่าปี
  • Q: การแสดงผลอายุที่คำนวณได้จากโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java สามารถแสดงผลออกทางหน้าจอได้อย่างไร?
    A: การแสดงผลอายุที่คำนวณได้จากโปรแกรมคำนวณอายุด้วย Java สามารถแสดงผลออกทางหน้าจอได้โดยใช้คำสั่ง System.out.println() ใน Java ดังนี้
System.out.println("อายุของคุณคือ: " + age + " ปี");

เมื่อคำนวณอายุเสร็จสิ้นแล้ว โปรแกรมจะแสดงผลอายุออกทางหน้าจอ โดยแสดงเป็นข้อความ "อายุของคุณคือ: X ปี" โดยที่ X คือผลลัพธ์จากการคำนวณอายุของผู้ใช้งาน
#40
Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีความสามารถในการเขียนโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ ซึ่งมีผลทำให้ Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ภายในภาษา Kotlin มีความสามารถในการจัดการกับตัวแปร (Variable) อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะพูดถึงเกี่ยวกับ Kotlin Değişkenler และการใช้งานตัวแปรใน Kotlin

1. Kotlin คืออะไร
1.1 Kotlin คือภาษาโปรแกรมมิ่งอะไร
Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ถูกพัฒนาโดย JetBrains บริษัทที่เป็นผู้พัฒนา IntelliJ IDEA ที่เป็นโปรแกรมสำหรับการพัฒนาโปรแกรม โดย Kotlin ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นและช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการเขียนโค้ด ซึ่งในปัจจุบัน Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการพัฒนาโปรแกรม


1.2 ความสามารถของ Kotlin
Kotlin มีความสามารถในการเขียนโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ มีการเขียนโค้ดที่เป็นระเบียบและคงที่ สามารถใช้งานได้ง่ายและมีความเป็นมาตรฐาน นอกจ

2. Kotlin ตัวแปร
2.1 คำนิยามของตัวแปรใน Kotlin
ตัวแปร (Variable) ใน Kotlin เป็นสิ่งที่เก็บค่าของข้อมูลในหน่วยความจำ โดยตัวแปรจะถูกกำหนดค่าเมื่อเราเขียนโค้ด และค่าของตัวแปรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ต้องการ ใน Kotlin การกำหนดค่าของตัวแปรจะต้องมีการระบุชนิดของข้อมูล (Data type) ด้วย


2.2 ตัวอย่างการประกาศตัวแปรใน Kotlin

var name: String = "John"
var age: Int = 25
var height: Double = 1.75


ในตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่ามีการประกาศตัวแปร name, age, และ height โดยชนิดของข้อมูลที่ใช้กำหนดให้แต่ละตัวแปรคือ String, Int, และ Double ตามลำดับ

2.3 การเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรใน Kotlin
ใน Kotlin ค่าของตัวแปรสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ต้องการ ตัวอย่างการเปลี่ยนค่าตัวแปรใน Kotlin ดังนี้


var name: String = "John"
name = "Jane"


ในตัวอย่างข้างต้น ค่าของตัวแปร name ถูกกำหนดค่าเป็น "John" และเมื่อมีการเปลี่ยนค่าด้วยการกำหนดค่าใหม่เป็น "Jane" แทนที่ ค่าของตัวแปร name ก็จะเปลี่ยนแปลงเป็น "Jane" แทน

3. การกำหนดชนิดของข้อมูลในตัวแปรใน Kotlin
3.1 คำสั่ง val และ var
ใน Kotlin มีคำสั่ง val และ var ในการประกาศตัวแปร โดย var ใช้ในการประกาศตัวแปร ที่มีค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วน val ใช้ในการประกาศตัวแปรที่มีค่าคงที่และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้


3.2 ชนิดของข้อมูลใน Kotlin
ใน Kotlin มีชนิดของข้อมูล (Data Type) ต่างๆ ที่ใช้ในการกำหนดชนิดของตัวแปร ซึ่งใน Kotlin มีชนิดของข้อมูลอยู่หลายประเภท เช่น String, Int, Double, Float, Boolean, และอื่นๆ ดังนั้นการกำหนดชนิดของข้อมูลใน Kotlin เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคงที่


3.3 ตัวอย่างการกำหนดชนิดของข้อมูลใน Kotlin

var name: String = "John"
var age: Int = 25
var height: Double = 1.75
var isStudent: Boolean = true


ในตัวอย่างข้างต้น มีการกำหนดชนิดของข้อมูลให้กับตัวแปร name เป็น String, age เป็น Int, height เป็น Double, และ isStudent เป็น Boolean

4. การใช้งานตัวแปรใน Kotlin
4.1 การแสดงผลของค่าตัวแปรใน Kotlin
ใน Kotlin มีวิธีการแสดงผลค่าของตัวแปรที่เรากำหนดไว้ด้วย โดยใช้ print() หรือ println() เพื่อแสดงผลลัพธ์ออกทางหน้าจอ


4.2 ตัวอย่างการใช้งานตัวแปรใน Kotlin

fun main(args: Array<String>) {
    var name: String = "John"
    var age: Int = 25
    var height: Double = 1.75
    println("My name is " + name)
    println("I am " + age + " years old")
    println("My height is " + height)
}


ในตัวอย่างข้างต้น มีการกำหนดตัวแปร name เป็น String, age เป็น Int, และ height เป็น Double และมีการ แสดงผลค่าของตัวแปรออกทางหน้าจอด้วย println() โดยแสดงข้อความ "My name is " ตามด้วยค่าของตัวแปร name และใช้วิธีเดียวกันในการแสดงผลค่าของตัวแปร age และ height

5. สรุป
ในบทความนี้เราได้พูดถึงเกี่ยวกับ Kotlin และการใช้งานตัวแปรใน Kotlin ซึ่ง Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีความสามารถในการเขียนโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ โดยการใช้งานตัวแปรใน Kotlin จะช่วยให้เขียนโค้ดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ โดยตัวแปรใน Kotlin จะต้องกำหนดชนิดของข้อมูลด้วย และมีวิธีการแสดงผลค่าของตัวแปรด้วย print() หรือ println() ที่ช่วยให้เขียนโค้ดได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

6. FAQ
Q: Kotlin เหมาะกับการใช้งานในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นอะไรบ้าง?
A: Kotlin เหมาะกับการพัฒนาแอพพลิเคชั่นทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์ม Android

Q: Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีความยากหรือไม่?
A: Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ง่ายและมีความสามารถในการเขียนโค้ดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Q: Kotlin สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มใดบ้าง?
A: Kotlin สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Android, iOS, เว็บไซต์, และแอปพลิเคชั่นอื่นๆ

Q: Kotlin เหมาะกับการเขียนโค้ดแบบ Functional Programming หรือ Object-Oriented Programming?
A: Kotlin เหมาะกับทั้ง Functional Programming และ Object-Oriented Programming ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Kotlin ได้รับความนิยมจากนักพัฒนาโปรแกรมมิ่งในทั้งสองแนวคิ

Q: การประกาศตัวแปรใน Kotlin ต้องมีการกำหนดชนิดของข้อมูล ในกรณีที่ไม่กำหนดจะเป็นอย่างไร?
A: ใน Kotlin มีคำสั่ง var และ val ในการประกาศตัวแปร ถ้าไม่ระบุชนิดของข้อมูล Kotlin จะรู้จักชนิดของข้อมูลจากค่าที่กำหนดให้กับตัวแปร

Q: Kotlin มีความเหมือนหรือแตกต่างจาก Java อย่างไร?
A: Kotlin เหมือน Java ในหลายๆ ด้าน เช่น มีการเรียกใช้ method และ class อย่างเดียวกัน แต่ Kotlin มีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การกำหนดตัวแปรแบบ nullable, การเขียนโค้ดแบบ Functional Programming, การรองรับการเขียนโค้ดแบบ Reactive Programming และอื่นๆ

Q: Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีความนิยมในปัจจุบันหรือไม่?
A: ใช่ Kotlin เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่มีความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนแพลตฟอร์ม Android

Q: Kotlin มีความปลอดภัยในการเขียนโค้ดหรือไม่?
A: ใช่ Kotlin มีความปลอดภัยในการเขียนโค้ดเนื่องจากมีระบบที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดและมีฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดในระหว่างการรันโค้ด

#41
งูหลามเป็นภาษาการเขียนโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพที่มีความหลากหลายของการดำเนินงา ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือโปรแกรมเมอร์ที่มีประสบการณ์การทำความเข้าใจการดำเนิ

การเพิ่ม
เป็นหนึ่งในการดำเนินงานทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สุดในงูหลาม มันเกี่ยวข้องกับการเพิ่มสองคนหรือมากกว่าตัวเลขเข้าด้วยกัน ในงูหลามตัวดำเนินการนอกจากนี้จะถูกแทนด้วยเครื่องหมายบวก(+)


ตัวอย่างรหัสต่อไปนี้เพิ่มสองหมายเลขเข้าด้วยกัน:
x = 3
y = 5
z = x + y
print(z)

มูลค่าของปีถึง 5 เพิ่มเข้าด้วยกันและกำหนดผลลัพธ์ให้กับตัวแปรซีเอาต์พุตของรหัสนี้คือ 8

การลบ
ลบเป็นอีกหนึ่งดำเนินการทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานในงูหลาม มันเกี่ยวข้องกับการลบหมายเลขหนึ่งจากอีกหมายเลขหนึ่ง ในงูหลามดำเนินการลบจะแสดงด้วยเครื่องหมายลบ(-)


ตัวอย่างเช่นรหัสต่อไปนี้ลบตัวเลขสองตัว:

x = 10
y = 7
z = x - y
print(z)

รหัสนี้กำหนดค่าของเอ็กซ์เป็น 10 ค่าของปีถึง 7 ลบจากตัวแปรและกำหนดผลลัพธ์ให้กับตัวแปรค.เอาต์พุตของรหัสนี้คือ 3


คูณ
คูณคือการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ร่วมกันในงูหลามที่เกี่ยวข้องกับการคูณสองคนหรือมาก ในงูหลามประกอบการคูณเป็นตัวแทนด้วยเครื่องหมายดอกจัน(*)

ตัวอย่างเช่นรหัสต่อไปนี้คูณตัวเลขสองตัว:

x = 6
y = 4
z = x * y
print(z)

มูลค่าของปี 6,ค่าของปีถึง 4,คูณด้วยปี,และกำหนดผลลัพธ์ให้กับตัวแปรซี.เอาต์พุตของรหัสนี้คือ 24.


ดิวิชั่น
หารเป็นอีกหนึ่งการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานในงูหลามที่เกี่ยวข้องกับการหาร ในงูหลามตัวดำเนินการส่วนจะแสดงโดยเครื่องหมายทับไปข้างหน้า(/)

ตัวอย่างเช่นรหัสต่อไปนี้แบ่งตัวเลขสองตัว:
x = 10
y = 2
z = x / y
print(z)

รหัสนี้ตั้งค่าเป็น 10 ค่าของปีถึง 2 หารด้วยปีและกำหนดผลลัพธ์ให้กับตัวแปรซีเอาต์พุตของรหัสนี้คือ 5.0


โมดูลัส
โมดูลัสคือการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณส่วนที่เหลือของจำนวนหนึ่งหารด้วยอีก ในงูหลามตัวดำเนินการโมดูลัสจะแสดงด้วยเครื่องหมายเปอร์เซ็นต์(%)

ตัวอย่างเช่นรหัสต่อไปนี้คำนวณโมดูลัสของตัวเลขสองตัว:

x = 7
y = 3
z = x % y
print(z)
#42
1. แนะนำ
การใช้ HTML แบบ Semantic ช่วยให้ผู้พัฒนาเว็บไซต์สามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีความสะดวกสบายในการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานและเพิ่ม SEO ของเว็บไซต์ได้ ในบทความนี้เราจะแนะนำขั้นตอนการเขียนบทความด้วย HTML แบบ Semantic

2. การใช้ HTML แบบ Semantic
HTML แบบ Semantic คือการใช้แท็ก HTML ที่ให้ความหมายและรายละเอียดของเนื้อหาในเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานและ SEO ของเว็บไซต์ การใช้ HTML แบบ Semantic สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานที่มีความพิการและเพิ่มโอกาสในการปรับปรุงการค้นหาของเว็บไซต์

3. การใช้แท็ก HTML แบบ Semantic
การใช้แท็ก HTML แบบ Semantic สามารถช่วยเพิ่มความหมายและความชัดเจนให้กับเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ โดยใช้แท็กที่เหมาะสมกับเนื้อหาของคุณ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้แท็ก HTML ที่ไม่เหมาะสมเพื่อสร้างสไตล์ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ต่อไปนี้คือแนวทางในการใช้แท็ก HTML แบบ Semantic:

  • ใช้แท็ก

    header สำหรับส่วนหัวของเว็บไซต์ของคุณที่มีหัวเรื่องหลัก และตัวอักษรที่ใ
  • ใช้แท็ก

    nav สำหรับเมนูการนำทางในเว็บไซต์
  • ใช้แท็ก

    section สำหรับส่วนของเนื้อหาที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น บทความหรือสไลด์
  • ใช้แท็ก

    article สำหรับเนื้อหาที่เป็นบทความหรือข่าวสาร
  • ใช้แท็ก

    aside สำหรับส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลัก แต่ไม่ได้เป็นส่วนหลัก
  • ใช้แท็ก

    footer สำหรับส่วนท้ายของเว็บไซต์ เช่น ลิงก์ติดต่อหรือข้อมูลลิขสิทธิ์

4. คุณสมบัติของ HTML แบบ Semantic
การใช้ HTML แบบ Semantic สามารถช่วยเพิ่มคุณสมบัติของเว็บไซต์ของคุณได้ โดยการใช้แท็ก HTML แบบ Semantic สามารถช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน และเพิ่ม SEO ของเว็บไซต์ คุณสมบัติอื่น ๆ ของ HTML แบบ Semantic ได้แก่:


  • เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานที่มีความพิการ
  • ช่วยเพิ่มความเข้าใจในเนื้อหาของเว็บไซต์
  • ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรต่อเครื่องมือค้นหา
  • ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงผลได้อย่างถูกต้องในแต่ละอุปกรณ์
  • ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูลของเว็บไซต์
#44
Golang / GOLang: แนวคิดเรนจ์ (วีดีโอบรรยาย)
ก.พ 24, 2023, 06:03 หลังเที่ยง
#45